ในช่วงตั้งครรภ์ตลอด 9 เดือนนั้น เป็นระยะที่คุณแม่ต้องพยายามดูแลสุขภาพตนเองให้ดีที่สุด ทั้งเรื่องร่างกายและจิตใจ เพราะทุกอย่างล้วนมีผลถึงลูกน้อยในครรภ์ทั้งสิ้น แต่กระนั้นความเสี่ยงต่อภาวะผิดปกติต่างๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้ เช่น รกลอกตัวก่อนกำหนด ถือเป็นภาวะที่แม้จะพบได้ไม่บ่อยแต่อันตรายมาก!!
รกลอกตัวก่อนกำหนด คืออะไร
รกลอกตัวก่อนกำหนด (placental abruption) หมายถึง ภาวะที่มีการลอกตัวของรกที่เกาะในตำแหน่งปกติ มีการคลอดตัวก่อนการคลอด หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์จนถึงก่อนทารกคลอด รกอาจลอกตัวเพียงบางส่วน (partial) หรือลอกตัวทั้งหมด (total) ก็ได้ ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด พบได้ 1 ใน 200 คน
รกลอกตัวก่อนกำหนด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. รกลอกตัวแบบเปิดเผย (Revealed type) คือ จะเห็นเลือดไหลออกมาทางช่องคลอดชัดเจน ทำให้วินิจฉัยโรคได้ค่อนข้างง่าย
2. รกลอกตัวแบบไม่เปิดเผย (Concealed type) คือ เลือดที่ออกจะขังอยู่หลังรก ไม่เซาะ ไม่ไหลออกมาทางปากช่องคลอดให้เห็นชัดเจน
เตือนบำรุงเยอะเกิด ระวังรกลอกตัวก่อนกำหนด!!
สาเหตุหลักของมาจากทั้งปัจจัยภายนอก เช่น การกระแทกหหน้าท้องรุนแรงจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตกจากที่สูง และปัจจัยภายใน เช่น น้ำเดินเร็วผิดปกติ ความผิดปกติของร่างกายคุณแม่ แม่ท้องที่น้ำหนักเพิ่มอย่างรวดเร็วระหว่างตั้งครรภ์จนเข้าสู่ “ภาวะอ้วน” ครรภ์เป็นพิษ ความดันโลหิตสูง ภาวะเลือดออกง่าย มีลูกแฝด
ซึ่งเคยมีกรณีคุณแม่ท้องท่านนึงพบว่ามีความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งเรื่องที่เดิมน้ำหนักตัวมาก และปล่อยให้น้ำหนักขึ้นเยอะเกินไป โดยปกติควรควบคุมน้ำหนักไว้ให้ไม่เกิน 13-15 กิโลกรัมตลอดการตั้งครรภ์ ลูกตัวโต น้ำคร่ำมาก แม่ท้องส่วนใหญ่มักไม่ค่อยสังเกตและกลับเข้าใจว่าต้องบำรุงให้มากช่วงตั้งท้องเพื่อให้ลูกแข็งแรงสมบูรณ์
แต่ความจริงแล้วการบำรุงด้วยอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และไขมันสูง ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่แม่ท้องเสี่ยงจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง และเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์ทั้งคลอดก่อนกำหนด หรือเลวร้ายถึงขนาดเสียชีวิตในครรภ์ได้ นอกจากนี้ยังมีภาวะอื่นๆที่สุ่มเสี่ยงจะทำให้แม่ท้องเกิดภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนดด้วย ได้แก่
1. แม่เคยมี ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (ไม่ว่าระยะใด) มาก่อน
3. การเจาะเลือดสายสะดือทารก (หัตถการของแพทย์)
4. ความผิดปกติของรกตามธรรมชาติ
5. แม่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
6. ขาดสารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์
หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาลด่วน ถ้ามีอาการช็อก ต้องให้น้ำเกลือไประหว่างทางด้วย มักจะวินิจฉัยโดยการตรวจอัลตราซาวด์ ถ้ามีเลือดออกไม่มาก และทารกในครรภ์ยังแข็งแรงดี ตรวจสอบได้จากการได้ยินเสียงหัวใจของทารกเต้นเป็นปกติ จะให้คุณแม่นอนพักในโรงพยาบาลจนกว่าเลือดจะหยุด หลังจากนั้นให้จึงให้กลับบ้าน และนัดมาตรวจอย่างใกล้ชิด ถ้าเลือดออกมามาก อาจต้องให้เลือดและทำการผ่าตัดหรือหาวิธีเอาเด็กออกโดยด่วน
ที่มา
th.theasianparent.com