1.การเตรียมตัวตั้งแต่คุณตั้งครรภ์
หากลูกคนโตอายุขวบครึ่งขึ้นไป จะพอเข้าใจสิ่งที่คุณบอกได้แล้ว จึงควรบอกลูกว่าในท้องของคุณมีน้องสาวหรือน้องชายของเขา คอยพูดถึงข้อดีของการมีน้อง เช่น จะได้มีเพื่อนเล่น ไม่เหงา และคุณรักเขาไม่เปลี่ยนแปลง ควรให้มีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของลูกน้อยที่สุด เช่น ลูกยังคงมีของเล่นโปรด ยังได้ไปสวนสาธารณะ ยังได้มีเวลาพิเศษร่วมกันกับคุณเสมอ ไม่ให้พูดแหย่ทำให้ลูกรู้สึกไม่ดี เช่น ถ้าหากดื้อ จะไม่รัก แต่จะรักน้องแทน และเมื่อท้องของคุณเริ่มโตขึ้นจนเห็นได้ชัดและผ่านพ้นระยะที่อาจเสี่ยงต่อการแท้งแล้ว คุณอาจบอกลูกว่าลูกจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเหลือแม่ในการดูแลน้อง น้องควรนอนที่ไหน เตรียมของเล่นให้น้อง แต่อย่าคาดหวังว่าลูกจะทำได้ เพราะเขาอาจยังเด็กเกินไป
2.การเตรียมตัวก่อนคลอด
ไม่ควรมีการเปลี่ยนแปลงในกิจวัตรประจำวันของลูกคนโตที่อาจเพิ่มความเครียดและกดดันในช่วงที่คุณให้กำเนิดคนเล็ก เช่น การย้ายห้องนอน การเลิกดูดนมแม่หรือดูดขวด พาเข้าโรงเรียน แต่ให้ทำล่วงหน้าก่อนหรือหลังน้องเกิด 3 เดือน เพื่อไม่ให้ลูกคิดว่าเป็นเพราะน้องมาไล่ที่ แต่เป็นเพราะเขาเป็นเด็กโตแล้ว เก่งแล้ว สามารถทำได้แล้ว
3.การเตรียมตัวช่วงคลอดและหลังคลอด
ความคิดที่จะให้ลูกคนโตอยู่ในห้องคลอดด้วยกันทั้งหมด เพื่อสร้างความใกล้ชิดระหว่างกัน อาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี เพราะลูกอาจรู้สึกไม่ดีที่เห็นแม่ต้องมีความเจ็บปวดอย่างมาก และกรีดร้อง ทำให้ลูกคิดว่าสิ่งไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น และลูกอาจกลัวเลือด ส่วนแม่ก็อาจพะว้าพะวงเป็นห่วงลูกที่อาจงอแงอยู่ในห้องคลอดจนไม่มีสมาธิในการเบ่งคลอด
หลังคลอดลูกแล้ว ควรเป็นเวลาที่พี่ได้เจอกับน้อง มีโอกาสได้สัมผัส (แต่อย่าลืมล้างมือก่อนเสมอ) ได้พูดกับน้อง ช่วยงานแม่เล็กๆน้อยๆ เช่น หยิบผ้าอ้อมให้แม่ ให้เขาได้รู้สึกมีส่วนร่วม แต่อย่าบังคับหากเขาไม่ต้องการ ที่จริงแล้ว เด็กส่วนใหญ่มักปรับตัวได้ดีกับการมีน้องในช่วง2-3 วันแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 สัปดาห์ เขาอาจรู้สึกว่าการมีน้องไม่ใช่เรื่องสนุกอีกต่อไป ทำให้เด็กรู้สึกเครียดขึ้นมาได้ พ่อแม่จึงควรเข้าใจ อดทน และไม่โมโหเมื่อลูกคนโตมีพฤติกรรมต่อต้านหรือถดถอยจ้า
Cr: Breastfeeding Mama Talk
หน้าที่เข้าชม | 15,783,565 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 13,656,363 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ส.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 18 ต.ค. 2568 |