ขณะตั้งครรภ์ สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ก็คือการใช้ยา เพราะการใช้ยาที่แรงเกินไป ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการสร้างอวัยวะของตัวอ่อนในครรภ์ มาดูกันค่ะว่ายาที่แม่ท้องใช้ได้มีอะไรบ้าง
ดูเสร็จอย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคุณแม่และลูกน้อยด้วยนะคะ ^^
ยาดูดซึมสู่ทารกในครรภ์ได้อย่างไร
การใช้ยาส่งผลต่อทารกในครรภ์ด้วยเพราะยาในกระแสเลือดของแม่จะซึมผ่านรก เข้าสู่กระแสเลือดของทารกในครรภ์ได้ เช่นเดียวกับน้ำ สารอาหารและออกซิเจนที่ทารกได้รับทางสายสะดือ ยาจะส่งผลต่อทารกในครรภ์มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ อายุครรภ์ ชนิดของยา และขนาดของยาที่แม่ได้รับ
กินยาอะไรได้บ้าง เมื่อ แม่ท้องป่วย
ในกรณีที่เป็นไข้ ไม่สบาย มีอาการปวดศีรษะ คุณแม่สามารถทานยาแก้ปวดลดไข้ จำพวกพาราเซตามอลได้ตามปกติ คือทานได้ครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง เมื่อเป็นไข้หรือมีอาการปวด สำหรับยาพาราฯ ถือว่าเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย ถ้าหากไม่ได้ทานในจำนวนที่มากจนเกินไป ไม่แนะนำให้ทานแบบพร่ำเพรื่อ ควรทานเมื่อไม่สบายจริง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อตับของคุณแม่เพิ่มเติม ในส่วนของยาแก้ปวด ลดไข้ ประเภทแอสไพริน และไอบูโพรเฟน ไม่ควรทานเป็นอันขาด เพราะอาจส่งผลให้เกิดภาวะแท้งบุตร และอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ได้
ยาแก้แพ้และยาลดน้ำมูกโดยทั่วไปที่มีขายตามร้านขายยานั้น มีอยู่หลายชนิด แต่ชนิดที่ได้รับความนิยมและปลอดภัยต่อตัวคุณแม่และลูกในครรภ์มากที่สุด ก็คือคลอเฟนิรามีน หรือยาเม็ดเล็ก ๆ สีเหลืองนั่นเอง โดยทานเพียงครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้งหลังอาหารก็เพียงพอแล้ว เมื่อทานยาชนิดนี้เข้าไป ให้พักผ่อนทันที เพราะอาจทำให้มีอาการง่วงซึม ไม่ควรทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น ขับรถ ออกไปนอกบ้าน เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว สามารถหยุดทานได้ทันที
ในกรณีที่คุณแม่มีอาการป่วยมากกว่าปกติ เช่น เป็นโรคทอนซิลอักเสบ เจ็บคออย่างรุนแรง สามารถทานยาปฏิชีวนะได้ โดยการทานอะม็อกซีซิลลิน หรือที่เราชอบเรียกกันว่า “ยาแก้อักเสบ” แต่ทั้งนี้ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีประวัติแพ้ยา เพราะถ้าหากแพ้ยาและทานเข้าไป อาจเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์และตัวคุณแม่จนถึงแก่ชีวิต ในส่วนนี้ถ้าหากรู้สึกไม่แน่ใจ ให้ไปพบแพทย์จะดีที่สุด
ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่คุณแม่ที่มีการตั้งครรภ์อยู่ จะเกิดอาการท้องเสียขึ้นมา แต่ก็ต้องระวังให้ดี เพราะอาจส่งผลให้เกิดอันตรายต่าง ๆ ตามมาได้ ในส่วนนี้คุณแม่สามารถทานเกลือแร่แบบเป็นซอง ๆ ผสมน้ำได้ตามปกติ เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำและอ่อนเพลียจนหน้ามืด วิงเวียนเสียก่อน จากนั้นให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อให้แพทย์เป็นผู้จ่ายยารักษาอาการท้องเสีย หรือท้องร่วงให้ ไม่แนะนำให้ซื้อยามาทานเองโดยเด็ดขาด
ยาแก้ไอ ประเภทยาอมเป็นเม็ด หรือจะเป็นยาที่นำมาพ่นใส่คอเพื่อให้ชุ่มคอมากขึ้น จัดเป็นยาประเภทรักษาเฉพาะที่ สามารถรับประทานหรือฉีดพ่นได้ตามปกติ ในกรณีที่มีการเจ็บคอหรือมีอาการไอ ถ้าหากว่าอาการไม่ดีขึ้น หรือไอมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ก็แนะนำให้ไปพบแพทย์ เพราะในช่วงระหว่างการไอ เราอาจจะเผลอตัวเบ่งท้องโดยไม่รู้ตัว อาจจะทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้
วิธีลดอาการท้องอืด สำหรับคนท้องก็คล้ายๆ กับบุคคลอื่นทั่วไป แต่แตกต่างกันตรงที่คุณแม่ต้องระมัดระวังการกินยาเท่านั้นเอง หากคุณแม่มีอาการแน่นท้อง บางคนอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย สามารถบรรเทาได้ด้วยการทานยาแก้ท้องอืดค่ะ ซึ่งยาที่คุณแม่สามารถกินได้ มีดังนี้
• ยาเม็ด : air-x, แอนตาซิล
• ยาชงดื่ม : อีโน (ได้ผลค่อนข้างดี)
สำคัญคือคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงยาขับลม ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม (กลุ่มยาธาตุต่างๆ)
สำหรับสมุนไพรที่คนท้องทานได้ ได้แก่
ขิง ประโยชน์ของขิงช่วยในเรื่องของการขับลม ช่วยทำให้คุณแม่รู้สึกสบายท้องมากขึ้น โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้อง
เกสรดอกบัว นิยมใช้เกสรจากดอกบัวขาว หรือบัวหลวงที่เราใช้ไหว้พระนี่ล่ะค่ะ สิ่งสำคัญต้องมั่นใจว่าปลอดสารพิษ ดอกบัวถือเป็นยาบำรุงครรภ์เป็นอย่างดี เชื่อกันว่าช่วยบำรุงครรภ์ ทำให้รกเกาะติดดี ไม่เคลื่อน ไม่คลอดก่อนกำหนด ป้องกันการแท้ง จะใช้สดหรือแห้งก็ได้ วิธีใช้ คือ นำเกสรดอกบัวมาประมาณหยิบมือหนึ่ง จะเป็นเกสรแบบสดหรือแห้งก็ได้ แล้วชงกับน้ำร้อนเดือด ๆ ตั้งไว้ให้อุ่น ดื่มวันละแก้ว
เม็ดบัว จะใช้เม็ดบัวแห้งหรือเม็ดบัวสดก็ได้นำมาประกอบอาหารจะนึ่งหรือต้มกินก็ได้ เม็ดบัวช่วยบำรุงทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์
ใบกะเพรา คนไทยนิยมใช้ใบกะเพราสด หรือแห้งมาประกอบอาหาร จำพวกผัดแกงที่มีรสชาติจัดจ้าน ใบกะเพรามีฤทธิ์ช่วยขับลมแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง