https://www.tiktok.com/@childingeverything

ปัจจุบันคุณแม่หลายคนนิยมเลือกวิธีการผ่าคลอดเพิ่มมากขึ้น เนื่องด้วยข้อบ่งชี้แตกต่างกันไป ทั้งเหตุจากตัวคุณแม่เองหรือเหตุจำเป็นของทารก อีกทั้งวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ทำให้การผ่าตัดคลอดมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทื้งนี้คุณแม่ที่เลือกใช้วิธีผ่าคลอดลูกควรรู้ การผ่าตัดคลอดบุตรที่ผนังหน้าท้อง มีอยู่ 2 แบบ คือ ผ่าคลอดแนวตั้งและผ่าคลอดแนวนอน ซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ผ่าคลอดแนวตั้ง แนวนอน แบบไหนสวย แบบไหนจะหายเร็ว คุณหมอได้ให้ข้อมูลไว้ดังนี้

คือการลงแผลในแนวดิ่งที่ผนังหน้าท้องช่วงล่างตรงแนวกลางลำตัว ตั้งแต่ระดับต่ำกว่าสะดือยาวลงมาจนถึงระดับเหนือกระดูกหัวหน่าวเล็กน้อย ความยาวแผลประมาณ 10 เซนติเมตร การลงแผลแนวนี้จะผ่านเนื้อเยื่อหลายชั้น จนสามารถเข้าช่องท้องได้ง่าย

การผ่าลักษณะนี้จะเป็นที่นิยมกว่า สวยงามกว่า ทำโดยการลงแผลแนวขวางที่ผนังหน้าท้องด้านล่าง ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ตรงตำแหน่งรอยพับของหน้าท้องหรือระดับประมาณ 2 เซนติเมตรสูงจากขอบบนของกระดูกหัวหน่าว ขั้นตอนการผ่าจะซับซ้อนกว่าเล็กน้อย
แผลผ่าคลอดแนวตั้ง
ข้อดี
ข้อเสีย
แผลผ่าคลอดแนวนอน
ข้อดี
ข้อเสีย
การผ่าตัดโดยส่วนใหญ่สูติแพทย์จะเป็นผู้กำหนดแนวการลงแผลผ่าตัดคลอด โดยพิจารณาจากความจำเป็นซึ่งหากลงแผลแนวตั้งตรงจะแจ้งให้คุณแม่ทราบก่อนล่วงหน้า เนื่องจากในทางปฏิบัตินิยมลงแผลแนวนอนมากกว่าด้วยเหตุผลของความสวยงามเป็นหลัก และมักจะเลือกลงแผลตามแนวเดิม โดยตัดเนื้อเยื่อแผลเป็นเก่าออกก่อน แล้วจึงทำการผ่าตัดคลอดตามปกติ
การผ่าคลอดในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัวคุณแม่อีกต่อไป เมื่อคุณแม่ทราบข้อดี ข้อเสียดังกล่าว คุณแม่อาจมีส่วนร่วมกับแพทย์ในการพิจารณาเลือกแนวแผลผ่าคลอดที่เหมาะสมหรือปรึกษาสอบถามคุณมาก่อนถึงกำหนดคลอดได้นะคะ
ไม่ว่าคุณหมอจะวินิจฉัยหรือคุณแม่ตัดสินใจแบบไหนก็ตาม หลังจากผ่าคลอดแล้ว อย่าละเลยเรื่องการเร่งคืนภูมิต้านทานให้ลูกน้อยทันที เพราะทารกที่เกิดจากการผ่าคลอดจะอ่อนแอกว่าเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ เนื่องจากในระบบทางเดินอาหารของทารกทุกคนมีสภาวะปลอดเชื้อจนกระทั่งคลอดผ่านช่องคลอดของแม่ เขาจะได้รับจุลินทรีย์โพรไบโอติกเพื่อไปพัฒนาระบบภูมิต้านทานในลำไส้ แต่ทารกที่ผ่าคลอดนั้นไม่ได้รับจุลินทรีย์ตัวนี้มาตั้งแต่แรกเกิด จึงมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ ลำไส้อักเสบ ท้องร่วง ได้มากกว่า แต่ธรรมชาติก็ยังให้โอกาสลูกได้รับภูมิต้านทานเหล่านั้นอีกครั้งจากการกิน “นมแม่” ดังนั้น คุณแม่จึงต้องดูแลโภชนาการของลูก ให้ลูกได้กินนมแม่เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง มีพัฒนาการสมบูรณ์ทั้งร่างกายและสมองนะคะ
ที่มา
th.theasianparent.com
| หน้าที่เข้าชม | 15,789,944 ครั้ง |
| ผู้ชมทั้งหมด | 13,662,742 ครั้ง |
| เปิดร้าน | 17 ส.ค. 2557 |
| ร้านค้าอัพเดท | 18 พ.ย. 2568 |