การใช้ยาส่งผลต่อทารกในครรภ์ด้วยเพราะยาในกระแสเลือดของแม่จะซึมผ่านรก เข้าสู่กระแสเลือดของทารกในครรภ์ได้ เช่นเดียวกับน้ำ สารอาหารและออกซิเจนที่ทารกได้รับทางสายสะดือ ยาจะส่งผลต่อทารกในครรภ์มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ อายุครรภ์ ชนิดของยา และขนาดของยาที่แม่ได้รับ
หลังจากจากผ่านกระบวนการปฎิสนธิแล้วเซลล์ได้ที่รับการปฏิสนธิจะเดินทางมาฝังตัวที่ผนังมดลูก เจริญเติบโตไปเป็นทารก ปกติทารกในครรภ์แม่จะมีอายุอยู่ประมาณ 9 เดือน จึงจะคลอดออกมาเป็นทารก ในระหว่าง 9 เดือนที่ทารกเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์แม่นี้ ยาอาจส่งผลต่อทารกและเกิดความรุนแรงได้ตามอายุครรภ์ดังนี้
ชนิดและขนาดของยา เป็นปัจจัยสำคัญต่อความพิการของทารกในครรภ์ ตัวอย่างยาที่ก่อให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ที่พบสถิติบ่อยที่สุดมีดังต่อไปนี้
ยาที่มีการใช้บำบัดอาการเจ็บไข้ไม่สบายของหญิงตั้งครรภ์ ที่มีการใช้อยู่บ้างตามอาการของโรคที่พบบ่อยมีดังนี้
1. ยาลดไข้แก้ปวด
ยาที่ถือว่าปลอดภัยที่สุด สำหรับทารกในครรภ์แม่ คือ ยาพาราเซตามอล (อะซีตามิโนเฟน) ในผู้ใหญ่จะใช้ขนาดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง เวลาปวดหรือเป็นไข้
2. ยาลดน้ำมูกแก้แพ้
ยาที่นิยมใช้และปลอดภัยที่สุด คือ ยาคลอร์เฟนิรามีน หรือยาเม็ดแก้แพ้อากาศเม็ดสีเหลือง ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ในผู้ใหญ่จะใช้ขนาดเม็ดละ 4 มิลลิกรัม ครั้งละครึ่ง-1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น ยาลดน้ำมูกแก้แพ้ อาจทำให้ง่วงซึม หลังรับประทานยา แม่ตั้งครรภ์ควรพักผ่อน ไม่ควรขับขี่ยานพาหนะ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้
3. ยาปฏิชีวนะ
คุณแม่ตั้งครรภ์อาจเลือกใช้ยากลุ่มเพนิซิลลิน เช่น เพนิซิลลิน-วี แอมพิซิลลิน หรืออะม็อกซีซิลลิน เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ปลอดภัยสำหรับทารกในครรภ์เเพทย์นิยมใช้ อะม็อกซีซิลลิน แต่เนื่องจากยากลุ่มนี้มีการแพ้ยาสูงเป็นอันดับหนึ่ง จึงใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่ไม่เคยมีประวัติแพ้ยากลุ่มเพนิซิลลิน เพราะอาจเป็นอันตรายซึ่งในบางคนเป็นรุนแรงอาจถึงแก่ชีวิตได้
4. ผงเกลือแร่
ผงเกลือแร่จัดเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่สามารถใช้เพื่อทดแทนการสูญเสียเกลือแร่ เนื่องจากท้องเสีย ท้องเดิน หรืออุจจาระร่วงได้ แต่ยาไม่ได้มีผลต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร เพราะฉะนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ อาจได้รับยาเพิ่มควรปรึกษาแพทย์
อ่านมาถึงจุดนี้แล้ว ว่าที่คุณแม่คงทราบดีแล้วนะคะว่า ยา นั้นอันตรายต่อทารกในครรภ์มากแค่ไหน หากมีปัญหาสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ ห้าม ซื้อยารับประทานเอง ควรปรึกษาสูติแพทย์ หรือเภสัชกร และควรพูดให้เป็นนิสัยว่า ขณะนี้คุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่กี่เดือน เพื่อความปลอดภัยต่อลูกรักของเราค่ะ
Cr http://www.mamaexpert.com/
หน้าที่เข้าชม | 15,779,286 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 13,652,084 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ส.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 3 ก.ย. 2568 |