1. ปรับอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่าคุณแม่ที่อารมณ์ดี จะทำให้ร่างกายมีการหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่าเอนดอร์ฟินออกมาผ่านทางสายสะดือไปยังลูก ทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมองและอารมณ์ ในทางตรงกันข้ามคุณแม่ที่มีอารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย ร่าง กายจะหลั่งสารแห่งความเครียด ที่เรียกว่าอะดรีนาลินออกมาผ่านไปยังลูก ผลดังกล่าวจะทำ ให้ลูกคลอดออกมาเป็นเด็ก งอแง เลี้ยงยาก พัฒนาการช้า
2. ฟังเพลง ระบบประสาทการรับฟังของลูกน้อยในครรภ์จะเริ่มทำงานตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 5 เดือน การใช้เสียงกระตุ้นจะทำให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น
3. พูดคุยกับลูก การพูดคุยกับลูกในครรภ์บ่อยๆจะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีและเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด คุณแม่ควรพูดกับลูกบ่อยๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำๆ เพื่อให้ลูกคุ้นเคย อย่าไปเล่าเรื่องทุกข์ใจ เช่น เป็นหนี้เขาอยู่ หรือส่งแชร์ไม่ ทันให้ลูกฟังนะ เดี๋ยวลูกจะเครียดเสียตั้งแต่อยู่ในท้อง
4. ลูบหน้าท้อง การลูบหน้าท้องจะกระตุ้นระบบประสาท และสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น การลูบท้องควรลูบเป็นวงกลมจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบน บริเวณไหนก่อนก็ได้ครับ
5. ส่องไฟที่หน้าท้อง ลูกน้อยในครรภ์สามารถกะพริบตาเพื่อตอบสนองต่อแสงไฟที่กระตุ้นได้ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน การส่องไฟที่หน้าท้องจะทำ ให้เซลล์สมองและเส้นประสาท ส่วนรับภาพและการมองเห็นมีพัฒนาดีขึ้น
6. ออกกำลังกาย เวลาคุณแม่ออกกำลังกาย ลูกที่อยู่ในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย และผิวกายของลูกจะไปกระแทกกับผนังด้านในของมดลูก ผลดังกล่าว จะกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้น
7. เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เนื้อสมองของลูกน้อยในครรภ์มีองค์ประกอบเป็นไขมัน โดยเฉพาะไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 60 กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีความสำคัญต่อพัฒนา การสมองของลูกน้อยในครรภ์ คือกรดไขมันที่มีชื่อว่า ดีเอชเอ ซึ่งมีมากในอาหารพวกปลาทะเลและสาหร่ายทะเล
Cr http://www.thaihealth.or.th/
หน้าที่เข้าชม | 15,783,565 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 13,656,363 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ส.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 18 ต.ค. 2568 |