คำแนะนำดี ๆ จาก พญ.วราธิป โอทกานนท์ สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลกรุงเทพมาฝากกัน ซึ่งการดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ที่คุณแม่ไม่ควรมองข้ามนั้น มีอยู่ 4 เรื่องหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
1. การดูแลปาก และฟัน
คุณแม่ตั้งครรภ์มักมีปัญหาฟันผุ และเหงือกอักเสบได้ง่าย เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนซึ่งมีผลต่อเหงือก และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เชื้อโรคบางชนิดเจริญเติบโตได้ดี ทำให้เหงือกมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง หรือที่รุนแรงกว่านั้น อาจทำให้เกิดเนื้องอกเล็ก ๆ ที่เหงือกได้
อย่างไรก็ดี เนื้องอก หรืออาการเลือดออกจะค่อย ๆ หายไปเมื่อเข้าสู่ปลายสัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ไม่แนะนำให้ตัดเนื้องอกนี้ทิ้ง เพราะอาจเกิดแผลในช่องปาก หรือมีปัญหาในการเคี้ยวอาหารได้ และหากมีโรคเกี่ยวกับเยื้อหุ้มฟันอยู่แล้ว อาการอาจรุนแรงขึ้น
ดังนั้น การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากเป็นเรื่องที่จะละเลยไม่ได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ ควรจำกัดคราบจุลินทรีย์โดยการแปรงฟัน และใช้อุปกรณ์เสริมช่วย เช่น ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ ซึ่งคราบจุลินทรีย์ที่ว่านี้ ไม่ใช่เศษอาหาร แต่เป็นเชื้อโรคที่ปกติจะลอยอยู่ในน้ำลายแล้วค่อย ๆ มาสะสมอยู่บนผิวฟัน และควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำทุก ๆ 6 เดือน
2. การดูแลเต้านม
ขณะตั้งครรภ์ เต้านมจะขยายใหญ่ขึ้น คุณแม่ควรเปลี่ยนยกทรงให้มีขนาดพอเหมาะใส่สบาย ซึ่งบางท่านอาจจะมีน้ำนมไหลซึมออกมา เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลไปครับ เวลาอาบน้ำให้ล้างเต้านมด้วยน้ำสะอาด ไม่ควรฟอกสบู่ เพราะจะทำให้ผิวแห้งมาก อาจใช้โลชั่นทาเมื่อรู้สึกว่าผิวแห้งตึง หรือคัน แต่ถ้ามีปัญหาหัวนมสั้น หัวนมบอด หรือมีอาการผิดปกติ ควรไปปรึกษาแพทย์ หรือพยาบาลที่ฝากครรภ์ก่อนคลอด ไม่เช่นนั้นอาจมีอุปสรรคต่อการให้นมลูกได้
3. เซ็กซ์
เรื่องนี้คุณหมอบอกว่า ไม่มีข้อห้ามในผู้หญิงตั้งครรภ์ครับ แต่ควรใช้ท่าที่ปลอดภัย ไม่ใช้แรงกระแทกมากเกินไป โดยเฉพาะคุณแม่ที่ท้องใหญ่ ๆ ใกล้คลอดทั้งหลาย ควรหลีกเลี่ยงท่านอนหงายเพราะมดลูกอาจไปกดทับหลอดเลือดดำ ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดได้ และที่สำคัญควรงดเว้นการมีเซ็กซ์ในช่วง 1 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด ส่วนในรายที่เคยแท้ง แนะนำว่า ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หรือในรายที่มีปัญหาอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ หรือพยาบาลผู้ตรวจครรภ์ก่อนดีที่สุด
4. น้ำหนักตัว
คุณแม่ตั้งครรภ์ควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10 กิโลกรัมตลอดการตั้งครรภ์ แต่ถ้ามีน้ำหนักตัวเพิ่มไม่ถึงเกณฑ์กำหนดมักจะพบว่า ทารกที่มีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำกว่าปกติ หรือทารกน้ำหนักน้อย ตัวเล็กผิดปกติ ขณะเดียวกันคุณแม่ตั้งครรภ์ถ้ากินมากเกินไปจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก และทำให้เกิดปัญหาต่อการตั้งครรภ์หลายประการ เช่น ทารกตัวโตคลอดลำบาก หรือมีอาการเหนื่อยง่าย ปวดหลัง เส้นเลือดขอดมากขึ้น และทำให้แผลผ่าตัดติดกันช้า เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดได้ง่าย ถึงกระนั้น คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมาก ๆ ไม่ได้หมายความว่าทารกในครรภ์จะตัวโตเสมอไป การเพิ่มน้ำหนัก 10 กิโลกรัมต่อการตั้งครรภ์ เป็นน้ำหนักโดยเฉลี่ยที่ต้องพิจารณาตามรูปร่าง และขนาดตัวของคุณแม่ตั้งครรภ์ เช่น ผู้หญิงที่มีรูปร่างเล็ก และมีขนาดตัวก่อนการตั้งครรภ์น้อยกว่า 5 กิโลกรัม การเพิ่มของน้ำหนักตัวตลอดการตั้งครรภ์ อาจจะน้อยกว่า 10 กิโลกรัมได้ โดยน้ำหนักตัวจะเป็นน้ำหนักของทารก 3 กิโลกรัม และเป็นน้ำหนักของรก น้ำหล่อเด็ก เนื้อเยื่อที่ยืดขยายของเต้านม มดลูก และอื่น ๆ อีกประมาณ 5-6 กิโลกรัม
อย่างไรก็ดี ระยะเวลาตลอดการตั้งครรภ์ไม่ใช่เวลาที่จะควบคุมน้ำหนักด้วยการงดอาหาร เพราะทารกจะได้รับพลังงานจากการเผาผลาญไขมันของคุณแม่เท่านั้น แต่จะไม่ได้สารอาหารใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แฝดสอง หรือแฝดสาม ไม่ได้หมายความว่า จะต้องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็นสอง หรือสามเท่า แต่อาจจะเพิ่มน้ำหนักโดยเฉลี่ย 5 กิโลกรัมต่อทารก 1 คน โดยกินอาหารภายใต้การดูแลของแพทย์
หน้าที่เข้าชม | 15,783,565 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 13,656,363 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ส.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 18 ต.ค. 2568 |