1.ระบบการได้ยิน
ประมาณอายุครรภ์ 24-26 สัปดาห์ขึ้นไป ระบบการได้ยินของทารกจะมีการพัฒนาเต็มที่โดยรับรู้และตอบสนองต่อเสียงที่อยู่รอบตัวได้ ดังนั้นจึงมีการนำเอาเสียงภายนอกมาช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์
a. การใช้เสียงดนตรี
ตามปกติแล้วจะมีเสียงต่างๆ ผ่านเข้ามาถึงตัวทารกที่อยู่ในท้องแม่ตลอดเวลา เสียงที่เป็นสภาพแวดล้อมที่ดีให้ทารกควรเป็นเสียงดนตรีที่มีทำนองและจังหวะเบาๆ เช่น เพลงบรรเลง อาจเป็นเพลงคลาสสิกหรือเพลงไทยเดิมก็ได้ โดยเฉพาะในช่วงอายุครรภ์ที่มากกว่า 24 สัปดาห์ เพราะประสาทสัมผัสและระบบการได้ยินของทารกจะพัฒนาค่อนข้างสมบูรณ์ในช่วงนั้น (ทารกที่คลอดออกมามีพัฒนาการด้านร่างกายและไอคิวสูง เลี้ยงง่าย มีอารมณ์แจ่มใสและมีความผูกพันกับแม่)
ทารกมักแจ่มใสและเคลื่อนไหวในเวลาเย็น เป็นเวลาที่ทารกตื่นตัว พร้อมที่จะรับฟังเสียงได้ โดยสังเกตได้จากการดิ้นของทารก ซึ่งแสดงว่าทารกยังไม่หลับจะเป็นช่วงที่เหมาะสม
แนวทางปฏิบัติ ให้เปิดเทปเพลงบรรเลงเย็นๆ ให้แม่และทารกในครรภ์ฟังไปพร้อมกัน เปิดเพลงวันละครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที ก็เพียงพอแล้ว ถ้าเปิดซ้ำบ่อยๆทารกจะคุ้นชินและจดจำเพลงได้ หลังคลอดเมื่อเปิดเพลงเดิมนั้นอีก จะช่วยให้ทารกไม่ร้องกวนและหลับง่ายขึ้น เนื่องจากความเคยชินต่อเสียงเพลงนี้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
2. เสียงพูดคุยของมารดา
เสียงของแม่ถือได้ว่าเป็นเสียงธรรมชาติและเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีที่จะช่วยเสริมสร้างคุณภาพของทารกในครรภ์ได้ เสียงที่นุ่มนวล เสียงร้องเพลง จะช่วยให้ทารกจดจำเสียงนั้นได้ดีขึ้น
แนวทางปฏิบัติ ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์พับเป็นรูปปากกรวย ปลายส่วนที่แคบเป็นทางเข้าของเสียงแม่ ส่วนปลายกว้างไว้จ่อบริเวณหน้าท้องเพื่อให้ทารกรับฟัง หรือใช้เครื่องมือพูดคุยกับทารกในครรภ์ที่เรียกว่า Infant Phone ซึ่งมีปลายหนึ่งไว้ให้มารดาพูด ส่วนอีกปลายหนึ่งไว้ครอบที่หน้าท้อง บริเวณใกล้ศีรษะของทารกในครรภ์ก็ได้ โดยแม่อาจเล่านิทานหรือร้องเพลงกล่อมทารกบ่อยๆ เพื่อให้ทารกชินกับนิทานหรือเพลงขับกล่อมนั้นๆ ตั้งแต่ในครรภ์ เมื่อคลอดแล้วมารดาสามารถนำนิทาน หรือเพลงขับกล่อมนั้นมาช่วยทำให้ทารกสงบและหลับง่ายขึ้น
3.ระบบรับความรู้สึกและการเคลื่อนไหว
ทารกจะได้รับการสัมผัสตลอดเวลาที่อยู่ในครรภ์ โดยเฉพาะขณะที่แม่ขยับตัว หรือลูบและสัมผัสทารกในครรภ์โดยผ่านทางหน้าท้องนั้น ผิวของทารกจะสัมผัสกับผนังด้านในของมดลูก ทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นจะพัฒนาเส้นใยประสาทของสมองส่วนรับความรู้สึก เพิ่มประสิทธิภาพและความไวในการรับรู้ของทารก เพื่อเตรียมพร้อมให้ใช้งานได้ดีในช่วงหลังคลอด ขณะเดียวกันจะเป็นการสร้างความอบอุ่น และความผูกพันระหว่างแม่ลูก
การที่แม่นั่งบนเก้าอี้โยกไปมานั้น นอกจากจะกระตุ้นเซลล์สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวแล้วยังทำให้ทารกในครรภ์ได้ปรับตัวเข้าหาสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ
แนวทางปฏิบัติ ให้แม่ลูบหน้าท้อง และนั่งโยกบนเก้าอี้ได้ตั้งแต่ทราบว่าตั้งครรภ์ ถึงแม้ว่าในช่วงนี้ทารกยัง ไม่สามารถรับรู้ แต่แม่จะรู้สึกผ่อนคลายขณะนั่งเล่นบนเก้าอี้โยก และรู้สึกผูกพันกับทารกขณะลูบหน้าท้องตัวเอง จนเมื่ออายุครรภ์ 5 เดือนขึ้นไป ระบบประสาทการเคลื่อนไหวของทารกจะมีความพร้อมต่อการรับรู้การสัมผัสของแม่
อายุครรภ์ห้าเดือนไปแล้ว ทารกในครรภ์จะมีอวัยวะต่างๆ เกือบสมบูรณ์แล้ว สมองก็เริ่มขยายตัว การที่เด็กอยู่ในถุงน้ำคร่ำในท้องแม่ จะได้รับกระแสการเคลื่อนไหวของน้ำคร่ำรอบๆ เมื่อแม่เคลื่อนไหว ทารกในครรภ์จะเอนเอียงตามจังหวะของการเคลื่อนไหวของแม่ ผิวหนังของทารกจะรับรู้การสัมผัสกับผนังด้านในของมดลูกตลอดเวลามีผลต่อการพัฒนาระบบประสาทรับรู้ความรู้สึกของทารกถ้าเราลองนั่งโยกเก้าอี้ และทำให้ทารกได้เรียนรู้การตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม เพราะขณะที่คุณแม่นั่งโยกเก้าอี้นั้น เป็นการพัฒนาเซลล์สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว เมื่อทารกเรียนรู้เช่นนี้แล้วจะเกิดการปรับตัวและตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมนั้น โดยขณะที่เก้าอี้โยกไปข้างหน้า ทารกเริ่มรู้จักเกร็งตัวไปด้านหลังต้านแรงโยกไปด้านหน้า เพื่อพยุงตัวให้อยู่ในแนวกลางเสมอ ซึ่งทารกสามารถทำได้ง่ายเพราะลอยตัวอยู่ในน้ำคร่ำ การกระทำเช่นนี้ เปรียบเสมือนเป็นบทเรียนให้ทารกฝึกใช้ไหวพริบ เข้าใจและปรับตัวตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมที่เข้ามาใหม่ได้ ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวไปมาก็ช่วยพัฒนาระบบกล้ามเนื้อและการทรงตัว ทารกหลังคลอดจึงพลิกคว่ำและหงายได้เร็วกว่าเกณฑ์ปกติ
Cr: http://www.rcpsycht.org/
หน้าที่เข้าชม | 15,783,565 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 13,656,363 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ส.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 18 ต.ค. 2568 |