ปาเข้ามาเดือนที่ 4 แล้ว ท้องยังเล็กอยู่เลย แต่เริ่มง่วงบ่อย หิวบ่อย อาการของคนท้องช่วงไตรมาสที่ 2 จะเหมือนหรือต่างกับช่วงไตรมาสแรกยังไง? ต้องระวังเรื่องอะไร?มารู้ทันเพื่อเตรียมรับมือเลยค่ะ!!
เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ว่าที่คุณแม่ส่วนใหญ่จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีเรี่ยวมีแรงมากขึ้นเนื่องจากอาการแพ้ท้องช่วงไตรมาสแรกนั้นทุเลาลงหรือหายจากอาการแพ้ท้อง แต่ก็อาจจะยังมีคุณแม่บางท่านที่อาการแพ้ท้องยังอยู่ไปจนคลอดเลย โดยทั่วไปแล้วในไตรมาสที่ 2 คุณแม่จะรับประทานอาหารได้มากขึ้น เริ่มสังเกตเห็นท้องได้ชัดเจนขึ้น และที่ตื่นเต้นที่สุดคือการรู้สึกว่าลูกดิ้นเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังไม่วายมีอาการต่างๆ มากวนใจว่าที่คุณแม่ไม่ให้รู้สึกสบายตัวจนเกินไป อาการที่พบได้บ่อยในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 มีดังนี้ค่ะ
1.น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
ในช่วงนี้ว่าที่คุณแม่สามารถทานอาหารได้มากขึ้นเนื่องจากไม่มีอาการแพ้ท้อง บางรายมีความเชื่อที่ผิดว่าต้องทานอาหารเผื่อลูกด้วยจึงเพิ่มทุกอย่างเป็น 2 เท่า ทางที่ดีควรทานเฉพาะส่วนของคุณแม่ ไม่ต้องเผื่อลูกหรอกค่ะ เพียงแค่คุณประทานอาหารที่ครบ 5 หมู่ ควบคุมเรื่องแป้งและน้ำตาล ถ้าหิวก็ทานผลไม้แทนเค้กหรือคุกกี้ก็พอ
2.เป็นตะคริว
อาการตะคริวเกิดขึ้นจากน้ำหนักตัวของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อขาต้องแบกรับน้ำหนักตัวแม่และลูกน้อยในท้อง อีกทั้งมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น ก็อาจไปกดทับเส้นเลือดดำใหญ่ของขา หรือบริเวณอุ้งเชิงกราน จนเลือดไม่สามารถไหลเวียนได้สะดวก แถมฮอร์โมนของแม่ท้องเองที่เปลี่ยนแปลงไป ทางที่ดีคุณแม่ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิธีการแช่น้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณน่องที่เป็นตะคริว ดื่มน้ำให้เพียงพอและรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ด้วยนะคะ
3. ผิวหนังหน้าท้องขยาย
ช่วงนี้เส้นบริเวณท้อง ลานนมและหัวนมมีสีคล้ำขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องปกติ ว่าที่คุณแม่ไม่ต้องตกใจไปนะคะ เมื่อตั้งครรภ์ได้ประมาณ 6 เดือน ต่อมน้ำนมจะขยายเพิ่มขึ้น มีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้นจนเห็นเส้นเลือดดำใต้ผิวหนังขยาย รวมทั้งมีเซลล์กล้ามเนื้อรอบ ๆ ท่อน้ำนมหนาขึ้นเพื่อพร้อมให้นมลูกต่อไป ส่วนการขยายตัวของหน้าท้องอาจจะทำให้เกิดท้องลายได้ ดังนั้นควรใช้โลชั่นทาเพื่อให้ผิวหนังหน้าท้องชุ่มชื่นเสมอเพื่อป้องกันผิวหนังแห้ง เวลาผิวแห้งเราจะเกาเพื่อแก้ปัญหาอาการคัน ทำให้เป็นรอยแดงและอาจเกิดการอักเสบได้ค่ะ
อาการแสบร้อนกลางอกและท้องผูก เกิดขึ้นจากร่างกายมีการสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพิ่มขึ้น โดยฮอร์โมนนี้จะมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อบางอย่าง รวมถึงกล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะ ซึ่งปกติหูรูดนี้จะมีหน้านี้ปิดเพื่อเก็บกักอาหารและกรดไว้ในกระเพาะอาหาร ในการบรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก ให้พยายามรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ ให้บ่อยครั้ง หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมัน เผ็ด รสเปรี้ยวสำหรับอาการท้องผูก แนะนำให้รับประทานใยอาหารเพิ่มขึ้นและดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้อุจจาระนุ่มขึ้น และเคลื่อนที่ได้ง่าย การออกกำลังกายจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น
5.มีปัญหาในช่องปาก
คนท้องจะรู้สึกว่ามีเลือดออกตามไรฟันได้ง่ายเวลาที่แปรงฟัน หรือรู้สึกเสียวฟันได้ง่าย วิธีแก้คือให้เลือกใช้แปรงที่นิ่มแล้วบ้วนปากด้วยน้ำเกลือจะช่วยลดอาการระคายเคืองได้ค่ะ สำหรับคุณแม่ที่มีการอาเจียนบ่อยๆ จะเสี่ยงต่อโรคฟันผุได้ง่าย หากเป็นไปได้ให้ไปพบหมอฟันเพื่อเช็คสุขภาพช่องปากค่ะ
**สิ่งสำคัญในไตรมาสนี้ร่างกายของคุณแม่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายมาก ๆ คุณแม่สามารถออกกำลังกายเบาๆได้ค่ะ และรอบเอวจะขยาย มดลูกถูกดันขึ้นมาที่หน้าท้อง ยอดมดลูกจะอยู่ต่ำกว่าสะดือ มดลูกที่ขยายจนเข้าไปเบียดพื้นที่ในช่องท้อง ปอด และไต ทำให้คุณแม่ท้องมีอาการหายใจไม่สะดวก ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี ส่งผลให้เกิดอาการท้องผูก ฉะนั้นระวังเรื่องอาหารการกินด้วยนะคะ ท้ายนี้อย่างไรแอดมินก็ขอให้แม่ท้องทุกท่านคลอดง่าย แข็งแรง นะคะ**
หน้าที่เข้าชม | 15,783,565 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 13,656,363 ครั้ง |
เปิดร้าน | 17 ส.ค. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 18 ต.ค. 2568 |