อะไรบ้างที่แม่ท้องห้ามทำ อะไรบ้างที่เป็นอันตรายต่อลูกในท้อง ถ้าอยากให้ทารกในครรภ์ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สมบูรณ์ ปลอดภัย แม่ต้องรู้และระมัดระวังตัวเอาไว้!!
ดูเสร็จอย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคุณแม่และลูกน้อยด้วยนะคะ^^
การตั้งครรภ์เป็นระยะของการพัฒนาอวัยวะต่าง ๆ ที่สำคัญของลูกน้อยในครรภ์ โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่ ข้อห้ามและพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ห้ามทำเด็ดขาดระหว่างท้อง มีอะไรบ้างมาดูกัน!!
อันนี้เน้นเลยว่า สำหรับแม่ท้องที่เลี้ยงแมว ต้องงดการเก็บมูลแมว อึแมว หรือขี้แมว เพราะในอึแมวมีส่วนประกอบของท็อกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis) เชื้อปรสิตที่มีแมวเป็นพาหะนำโรค ทำให้เกิดการติดเชื้อ ส่งผลให้ทารกในครรภ์เกิดความผิดปกติ อาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยค่ะ อย่าประมาทนะคะแม่ ๆ
คนท้องที่อยากอบไอน้ำ อบซาวน่า เพื่อให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ต้องระวัง เพราะการอบไอน้ำนั้นอาจทำให้ลูกในครรภ์แท้งได้ ด้วยความร้อนจากไอน้ำทำให้ร่างกายของแม่ท้องขาดน้ำและเกลือแร่ที่จำเป็น เป็นสาเหตุให้เลือดข้น ทำให้เส้นเลือดอุดตัน เลือดไปเลี้ยงทารกน้อยลง ลูกในท้องจะเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่
3.ห้ามดื่มนมมากกว่าวันละ 1 แก้ว
แม่ท้องบางคนอาจสงสัยว่า ดื่มนมมาก ๆ ไม่ได้ช่วยเสริมสร้างแคลเซียมให้กับลูกในท้องหรอกหรือ แต่! อะไรที่มากเกินไปย่อมไม่ดี แม่ควรดื่มนมวัววันละ 1 แก้ว หรือนมถั่วเหลืองวันละ 1 แก้ว และเสริมแคลเซียมจากอาหารชนิดอื่น เช่น ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว งาดำ และอัลมอนด์
ข้อเสีย หากดื่มนมมากเกินความจำเป็น จะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพ้ของลูกได้ เช่น แพ้โปรตีนในนมวัว
ระหว่างตั้งครรภ์ แม่ท้องควรออกกำลังกายเบา ๆ อย่าหักโหม หรือรุนแรงเกินไป และไม่ควรออกกำลังกายต่อเนื่องนานเกิน 30 นาที สำหรับการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคนท้อง เช่น โยคะ ว่ายน้ำ เดินเหยาะ ๆ
ระหว่างที่แม่ท้องออกกำลังกายควรพักดื่มน้ำทุก ๆ 10-15 นาที เพื่อให้ร่างกายได้ระบายความร้อนออก และเพื่อป้องกันไม่ให้อุณหภูมิร่างกายสูงจนเกินไป เพราะอากาศบ้านเรานั้นทั้งร้อนทั้งอบอ้าว ทั้งนี้ การออกกำลังจนเหนื่อยหอบมาก จะทำให้ลูกในครรภ์ขาดออกซิเจนส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตได้
5.ห้ามยืนและนอนเป็นเวลานาน
คนท้องที่อายุครรภ์ ใกล้เข้าสู่ไตรมาสสุดท้าย ห้ามยืนและนอนนาน ๆ โดยเฉพาะแม่ท้องที่มีอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป การยืนและเดินนานจะทำให้ขาและเท้าบวมมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเส้นเลือดขอดที่ขา ปวดหลังได้ง่าย ทั้งยังไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม
หากแม่ท้องนอนเพลิน ก็ส่งผลต่อร่างกายเช่นกัน เพราะน้ำหนักครรภ์จะกดทับกระเพาะอาหารและลำไส้ เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง อาจไปกดทับเส้นเลือดดำ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายเกิดอาการบวม รู้สึกปวดเมื่อย ทำให้หน้ามืดเป็นลมได้ จึงควรเปลี่ยนอิริยาบถทุก 1-2 ชั่วโมง
คนท้องต้องเปลี่ยนท่านั่งหรือยืดเส้นยืดสายบ่อย ๆ เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้นนะคะ
6.ห้ามทำความสะอาดช่องคลอดด้วยการสวนล้าง
คุณแม่ควรทำความสะอาดเฉพาะภายนอกเท่านั้น แต่ไม่ควรสวนล้างเข้าไปด้านในช่องคลอดนะคะ เพราะในช่องคลอดจะมีแบคทีเรียที่คอยป้องกันไม่ให้เชื้ออื่นเข้าไปในช่องคลอด ถ้าคุณแม่สวนล้างช่องคลอดด้วยการใช้น้ำยาที่ขายกันอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด อาจเป็นอันตรายได้ เพราะผนังช่องคลอดนั้นจะมีเนื้อเยื่อที่ละเอียดอ่อนนุ่ม การใช้น้ำยาต่างๆ จึงทำให้เกิดแผลได้ง่าย
การดื่มแอลกอฮอล์ก็เช่นกัน เพราะเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ส่งผลให้
• ทารกในครรภ์มีพัฒนาการช้า
• มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดสูง เสี่ยงกว่าคนอื่น ๆ
• เมื่อคลอดลูกแล้ว ทารกมีโอกาสเกิดความผิดปกติ ส่งผลให้ทารกพิการแต่กําเนิด รักษาไม่หาย
การนอนดึกนั้นยังไม่ส่งผลต่อลูกในท้องมากเท่ากับการนอนไม่เพียงพอ แม่ท้องจึงควรนอนหลับอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ในทุกๆ คืน และควรนอนกลางวันเพิ่มเติมด้วย ซึ่งแม่ท้องต้องพยายามเปลี่ยนเวลานอนให้เหมาะสม ราวๆ ก่อน 4 ทุ่ม เพื่อให้คุณแม่หลับลึก พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม ช่วยเรื่องสุขภาพร่างกายของแม่ท้องเอง แถมลูกก็จะตัวโต สมบูรณ์แข็งแรง อีกด้วย
9. ห้ามอาหารเสริมความงาม เครื่องดื่มชูกำลัง
ถึงแม้ว่ายาหรือวิตามินตามท้องตลาด จะมีสรรพคุณเสริมอาหารมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่การกินยาหรือวิตามินเสริมความงามในช่วงตั้งท้องอาจทำให้ลูกมีปัญหาทางพัฒนาการได้ค่ะ ทางที่ดีคุณแม่ควรหันมาทานอาหารที่มีประโยชน์ที่ประกอบไปด้วยผัก และผลไม้ เพื่อสุขภาพที่ดีทั้งคุณแม่และลูกในท้องดีกว่าค่ะ ส่วนเครื่องดื่มชูกำลังก็ห้ามรับประทานเช่นกันค่ะ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะไปกระตุ้นการสูบฉีดโลหิต เพิ่มการขับปัสสาวะทำให้คุณแม่ต้องปัสสาวะบ่อยขึ้นอีก ซึ่งช่วงตั้งครรภ์ก็ฉี่บ่อยอยู่แล้ว อีกทั้งยังไปละลายแคลเซียมและเกลือแร่ในร่างกายมากขึ้นด้วย
แม่ตั้งครรภ์ไม่ควรทานยาพร่ำเพรื่อ และยิ่งต้องระวังอย่างมากในช่วงไตรมาสแรก หรือ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
เป็นช่วงที่ทารกในครรภ์กำลังพัฒนาอวัยวะและระบบประสาทต่าง ๆ หากทานยาที่มีอันตราย จะส่งผลต่อทารกอย่างแน่นอน