ช่วงทองที่ควรจะกระตุ้นพัฒนาลูกน้อยคือตั้งแต่ลูกในท้อง มีอายุประมาณ 8 สัปดาห์ เรื่อยไปจนถึงคลอดออกมาแล้วมีอายุ 2 ขวบ หลังจากนั้นพัฒนาการของสมองก็จะลดลง ดังนั้นทารกฉลาดได้ตั้งแต่ในครรภ์แล้ว
ดูเสร็จอย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคุณแม่และลูกน้อยด้วยนะคะ^^
กระตุ้นลูกน้อยให้สมองดี ให้ลูกฉลาด ได้อย่างไร?
การที่คนเราจะมีสมองดีหรือมีความเฉลียวฉลาดมีปัจจัยที่มาเกี่ยวข้องหลายประการ ปัจจัยที่สำคัญมี 3 ประการ คือ
1.กรรมพันธุ์
2.อาหารการกินของแม่ขณะตั้งครรภ์และของลูกภายหลังคลอด
3.สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็กทั้งขณะที่อยู่ในท้องและภายหลังคลอด
กรรมพันธุ์เป็นเรื่องที่ติดตัวมาตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ พ่อแม่ที่เฉลียวฉลาดก็จะถ่ายทอดลักษณะที่ดีนี้มาให้ลูกได้ แล้ว พ่อแม่ที่คิดว่าตัวเองสมองไม่ค่อยดีก็อย่าเพิ่งสิ้นหวังเสียทีเดียวค่ะ เพราะ ความเฉลียวฉลาดของคนเรายังขึ้นกับ อาหารการกินและสิ่งแวดล้อมดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้นำมาซึ่งแนวคิดในการกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์นั่นเอง
เราจึงสรุป 10 วิธีที่ควรทำทั้ง 9 เดือน มาให้กันแล้วตามนี้เลย!!
1.พูดคุยกับลูกผ่านผนังท้อง ระบบประสาทการรับฟังของลูกจะเริ่มทำงานประมาณอายุครรภ์ 5 เดือน การพูดคุยกับลูกด้วยเสียงที่นุ่มนวล ประโยคซ้ำๆ จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินพัฒนาดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด พูดประจำทุกวัน เช่น สวัสดี แม่รักลูกนะ เป็นต้นค่ะ
2.ส่องไฟที่หน้าท้อง อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน ทารกในครรภ์จะสามารถกระพริบตาได้ การส่องไฟที่หน้าท้องจะทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็นมีพัฒนาดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นหลังคลอด
3. ลูบหน้าท้อง กระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น เทคนิคง่ายๆ คือให้คุณแม่ลูบท้องเป็นวงกลมวนไปมาจากไหนก่อนก็ได้
เพลงที่ควรฟังคือ เพลงคลาสสิก เพลงบรรเลง หรือเพลงที่คุณแม่ชื่นชอบ ไม่ควรเปิดเพลงเสียงดังเกินไป และควรให้หน้าท้องอยู่ห่างจากลำโพงประมาณ 1 ฟุตค่ะ เสียงเพลงที่ฟังบ่อย ๆ จะทำให้คุณแม่และทารกในครรภ์ผ่อนคลายได้ค่ะ เมื่อลูกคลอดออกมาจะมีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง และจดจำสิ่งต่างๆได้
การอ่านนิทานจะช่วยฝึกเรื่องการจดจำคำศัพท์และเสียงของพ่อแม่ ยิ่งทำเสียงเล็กเสียงน้อย เสียงต่ำ ๆ สูง ๆ ก็ยิ่งดีค่ะ ลูกจะจดจำเรื่องราว และการพัฒนาด้านภาษาจะไปเร็วมาก ๆ เลยค่ะ
6.ออกไปเดินรับแดดเป็นประจำ: วิตามินดีมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนากระดูกของลูกน้อย และแหล่งวิตามินดีจากธรรมชาติที่ดีที่สุดคือ แสงแดด การให้ลูกน้อยได้รับวิตามินดีก่อนที่ลูกจะคลอดจะมีประโยชน์ระยะยาวต่อลูก เพียงคุณแม่ออกไปเดินรับแดดยามเช้าอย่างน้อย 20 นาทีเพื่อรับวิตามินดีทุกๆวันค่ะ
7. สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีรอบตัว คุณแม่ไม่ควรดูหนังหรือดูรายการที่มีความรุนแรง ควรเลือกดูสิ่งสร้างสรรค์จิตใจช่วงที่ตั้งครรภ์อยู่ การนั่งสมาธิก็เป็นวิธีที่ดีในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีรอบตัวคุณแม่และลูกน้อยค่ะ
8. ออกกำลังกาย ขณะที่คุณแม่มีการออกกำลังกาย ทารกในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย และผิวกายของลูกจะไปกระแทกกับผนังด้านในของมดลูก ผลดังกล่าวจะกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้นด้วยค่ะ
9. เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เนื้อสมองของลูกน้อยในครรภ์มีองค์ประกอบเป็นไขมันโดยเฉพาะไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 60 กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ความสำคัญต่อพัฒนาการสมองของลูกน้อยในครรภ์คือ กรดไขมันที่มีชื่อว่า ดีเอ็ช เอ (DHA) ซึ่งมีมากในอาหารปลาพวกปลาทะเลและสาหร่าย การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารดังกล่าวให้เพียงพอจะทำให้ลูกในครรภ์ได้รับวัตถุดิบคุณภาพดีในการสร้างเนื้อสมองและระบบเส้นใยประสาทให้มีคุณภาพดีตามไปค่ะ
เมื่อคุณแม่ทำการฝากครรภ์กับคุณหมอแล้ว คุณหมอจะให้ทานกรดโฟลิก เพิ่ม ทานไปจนครบ 12 สัปดาห์ ประโยชน์ของโฟลิกที่มีต่อทารก คือ จะช่วยสร้างเซลล์สมองรวมไปถึงการพัฒนาเซลล์สมอง ช่วยป้องกันความผิดพลาดของระบบประสาท ป้องกันภาวะเนื้อสมองไม่มี ป้องกันภาวะไขสันหลังไม่ปิด