การพูดคุยในความเป็นจริงแล้วไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นเวลาไหนเท่านั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถพูดคุยกับลูกได้ทุกเวลาแต่หากจะให้แนะนำถึงช่วงเวลาที่ลูกจะตื่นตัวและสามารถสัมผัสถึงสิ่งต่างๆ ได้ดีที่สุดนั้นขอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่พูดคุยกับลูกในช่วงหลังมื้ออาหารเพราะจะเป็นช่วงเวลาที่ลูกน้อยมีการตื่นตัวมากที่สุด นอกจากนี้ช่วงเวลาก่อนนอนก็ยังถือเป็นอีกช่วงหนึ่งที่แนะนำสำหรับการพูดคุยกับลูกเพราะว่าเขากำลังผ่อนคลายนั่นเอง

2. ปรับอารมณ์
ปรับอารมณ์ของคุณแม่ให้ดี เพราะลูกในท้องสามารถรับรู้อารมณ์ของคุณแม่ได้ ดังนั้น ไม่ว่าคุณแม่จะเหงา เศร้า ผิดหวัง เสียใจ หรือโกรธเคืองเรื่องอะไรมาก็ตาม ควรปรบอารมณ์ให้เย็นลง และปรับอารมณ์ให้ป็นบวก แต่ถ้าคุณแม่อารมณ์ดี มีความสุขอยู่แล้วก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะเมื่อคุณแม่ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงพูดคุยกับลูกในท้องในทางบวก ลูกก็จะมีความสุขตามไปด้วย

3. ชวนลูกคุยช้าๆเรียกชื่อลูกบ่อยๆ
เริ่มพูดกับลูกในท้องช้า ๆ ให้ลูกรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เรื่องที่พูดคุยอาจจะเป็นเรื่องใกล้ตัว กิจวัตรประจำวันที่คุณแม่ทำนอกจากนั้นถ้าคุณแม่แอบตั้งชื่อลูกไว้แล้ว หรือมีฉายาที่เอาไว้เรียกลูก ก็เอาชื่อลูกมาใช้ชวนคุยไปด้วยได้เลยค่ะ อาจจะพยายามเรียกชื่อลูกซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ให้ลูกจดจำชื่อตัวเองได้ 

4. หากิจกรรมเป็นตัวช่วย
โดยคุณแม่สามารถใช้วิธีสัมผัส ลูบท้อง ใช้ไฟฉายส่อง พร้อมทั้งพูดคุยกับลูกไปด้วย หรือจะร้องเพลง เปิดเพลงให้ลูกฟังบ่อย ๆ จะเพลงไหนก็ได้นะครับ เลือกที่คุณแม่ฟังแล้วสบายใจ ลูกก็จะสบายใจตามไปด้วย

5. ชวนคุณพ่อมาคุยด้วยกัน
ซึ่งการที่คุณแม่คุยคนเดียวอาจจะเหงา ๆ ชวนคุณพ่อมาคุยกับลูกน้อยในท้องด้วยกันนะคะ อาจคุยว่าวันนี้คุณพ่อไปทำงานมาเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยหรือเปล่า เมื่อลูกคลอด คุณพ่อหลายคนไม่ค่อยสนิทกับลูก เพราะลูกจะติดแม่มากกว่า การได้พูดคุยกับลูกตั้งแต่ในท้องจะช่วยให้ลูกจดจำเสียงของคุณพ่อได้ค่ะ

การพูดคุยกับทารกในครรภ์นั้น นอกจากจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก รวมไปถึงคนในครอบครัวแล้ว ยังช่วยเพิ่มทักษะและพัฒนาการทารกในครรภ์ก่อนคลอดได้อีกด้วย ซึ่งวิธีการดังที่กล่าวมานั้น ก็สามารถทำตามได้ไม่ยากเลย อีกทั้งยังสนุก ทำให้คุณแม่อารมณ์ดี และช่วยลดความเครียดของคุณแม่ท้องได้อีกด้วยนะคะ

ที่มา
th.theasianparent.com/